ท่องเที่ยวต่างประเทศ [17]
ในตอนนี้ผมขอแนะนำ นักเขียนจำเป็น นามว่า น้องก้อย ซึ่งนางเป็น Graphic Designer ที่เคยร่วมงานกับผม สมัยที่ทำงานที่นิตยสารท่องเที่ยวด้วยกันครับ ผมได้มอบหมาย (ขอร้อง) ให้นางมาเล่าถึงประสบการณ์ครั้งแรกที่ไปเยือน ประเทศญี่ปุ่น ให้ท่านผู้อ่านได้แชร์ประสบการณ์ไปด้วยกัน ในตอน
JAPAN 1st Time…โดนแมวเทที่ญี่ปุ่น
ขอออกตัวก่อนว่า ผมไม่ได้ขี้เกียจหรือจะอู้นะครับ ซึ่งผมได้เขียนเรื่องท่องเที่ยวต่างประเทศลง nontdesign.com มาถึง 17 ตอนแล้ว เร็วเหมือนกันนะครับ เนื้อหาก็มีทั้งแบบตอนเดียวจบ บางครั้งก็เป็นซีรีย์หลายตอน มีหลากหลายให้ได้เลือกอ่านกัน ซึ่งมีผู้อ่านหลายท่านที่ไม่เคยไปญี่ปุ่น อยากจะให้ผมเล่าว่าครั้งแรกที่ผมเป็นญี่ปุ่นเป็นยังไง
ยังไงหรือครับ จำได้ว่าตื่นเต้นมากครับ ไปกับบริษัททัวร์ สนุกมาก สะดวกสบายดี ไม่เหนื่อย ไปกับคุณแม่ครับ ซึ่งการไปกับทัวร์ก็จะได้เปรียบตรงที่ไม่ต้องเดินทางเอง ไม่หลง กินข้าวตรงเวลา แม่ผมนี่ Happy สุด ๆ และนี่ก็คือสิ่งที่ผมจำได้ครับ เพราะมันนานมาแล้ว ส่วนเรื่องไปไหนบ้าง จำไม่ได้เลยครับ Y_Y
จนวันหนึ่งเป็นวันที่มีความปิติยิ่งนัก หลังจากที่น้องก้อยจะต้องมีรายการของฝากซื้อเล็ก ๆ น้อย ๆ (พวกครีมกันแดด 1 หลอด ขนม 1 ซอง ซึ่งมันบ้าเปล่าว่ะครับ ซึ่งทำไมซื้อซองเดียว นางบอกขอชิมก่อน เดี๋ยวพี่ก็ต้องไปอีก ถ้าอร่อยค่อยฝาก) ทุกครั้งที่ผมไปญี่ปุ่น พอผมกลับมานางจะต้องต้อนรับด้วยคำว่า โอฮาโย ผมเลยต้องรีบส่งของที่นางฝากซื้อให้ทันที ซึ่งคราวนี้แหละนางกำลังจะได้ไปเลือกเองที่ญี่ปุ่นแล้ว แบบไม่ต้องรอผมถ่ายรูปมา หรือผมว่างวันไหนถึงจะได้ไปซื้อ เป็นครั้งแรกที่นางจะไปสัมผัส ดินแดนอาทิตย์อุทัย ผมจึงเกิดไอเดียว่า เมื่อนางกลับมาแล้ว นางน่าจะถ่ายทอดถึงความรู้สึกที่ได้ไปเป็นครั้งแรกได้ดีกว่าผมซึ่งครั้งแรกนั้นผ่านมาหลายปีแล้ว
และเป็นที่บังเอิญมาก ๆ คือ มีผู้อ่านท่านหนึ่งอยากให้ผมจัดโปรแกรมซึ่งเป็นวันว่าง (Free Day) ของทัวร์ที่เขาไป ซึ่งพักแถว ๆ นาริตะ ใกล้ ๆ กัน พอดี เอาเป็นว่าท่านใดที่ไปกับทัวร์ ที่มีวันว่าง 1 วัน ยังไม่รู้จะไปไหน ไปเที่ยวตามนี้ได้เลยครับ
มาอ่านเรื่องราวของทาสแมวนางหนึ่ง ที่ไปตามหาแมวที่ญี่ปุ่นกันครับ
โอฮาโยยยยยยย…..
สวัสดีค่ะ ก่อนอื่นก็ต้องขอแนะนำตัวก่อนเนอะ
หนูชื่อ ก้อย นะคะ เป็นนักศึกษาปริญญาโทที่ตกงานด้วย ตัวน้อย ๆ (ก็ว่าไปนั่น) ที่ได้รับภารกิจให้เขียนเล่าเรื่องการไปเที่ยวประเทศญี่ปุ่นครั้งแรกในชีวิตให้ทุก ๆ คนได้อ่านกันนี่แหละค่าาาา
จุดเริ่มต้นก็คือเมื่อช่วงกลางปีที่ผ่านมา (ขอเรียกแทนตัวเองว่าเรานะคะ) ได้มีโอกาสไปประเทศญี่ปุ่นกับเพื่อน ๆ ที่เรียนปริญญาโท หรือพูดอีกอย่างก็คือไปดูงาน ณ ต่างแดนนั่นแหละค่ะ โดยจุดหมายในครั้งนี้ก็หนีไม่พ้น “โตเกียว” (Tokyo) เมืองหลวงของประเทศญี่ปุ่นนั่นเอง ครั้งนี้ถือว่าเป็นการมาญี่ปุ่นครั้งแรกของเราเลย ซึ่งการไปดูงานครั้งนี้ใช้เวลา 6 วัน 4 คืน โดยมีเวลาได้เที่ยวที่ญี่ปุ่นทั้งหมด 5 วัน แต่…เรามีวันเที่ยวแบบฟรีเดย์เพียงแค่วันเดียวคือวันก่อนเดินทางกลับนั่นเอง
ซึ่งการเดินทางไปเที่ยวในครั้งนี้ 4 วันแรกจะค่อนข้างเร่งนิดหน่อย เพราะต้องดูงานด้วยค่ะ มีเวลาแค่ที่ละชั่วโมงนิด ๆ เอง บางคนอาจจะบอกว่าก็นานอยู่นะเอ้อ แต่บอกเลยว่ากว่าจะเดินจนทั่ว กว่าจะแวะหาของกิน กว่าจะถ่ายรูป ก็แทบจะหมดเวลาแล้ว เวลาในการเดินช็อปปิ้งก็น้อยตามไปด้วย ก็นาน ๆ ได้มาอะเนอะ ก็ต้องจัดเต็มหน่อย ฮ่าๆๆ
ก่อนหน้าที่จะมาญี่ปุ่นเราได้ลิสต์สถานที่และสิ่งของที่ต้องการซื้อมาเยอะแยะไปหมด แล้วในโปรแกรมนั้นก็มีการตามรอยเว็บ Nontdesign ด้วย นั่นก็คือร้าน Gontran Cherrier ที่สถานีชินจูกุ (กลับไปอ่าน คลิก http://www.nontdesign.com/review-gontran-cherrier) บอกได้เลยว่าสมกับที่ยอมเดินจากอีกฝั่งของชินจูกุเพื่อมาซื้อครัวซองต์ร้านนี้โดยเฉพาะ เพราะมันอร่อยมากกกกก! ก.ไก่ล้านตัวเลย วันนั้นเราเลือกซื้อครัวซองค์ Croissant แบบเปล่า ๆ กับ Mont Blanc ตอนแรกกะว่าจะซื้อ ขนมปังฝรั่งเศส (Baguette) มากินด้วย แต่กลัวกินไม่หมดเลยซื้อมาเท่านั้นดีกว่า แต่ใครที่จะไปซื้อขนมที่ร้านนี้ตอนนี้ (ปัจจุบัน) อาจจะหาร้านนี้ไม่เจอ เพราะว่าหลังจากที่เรากลับมาพี่นนท์ (เจ้าของเว็บ Nontdesign นี่แล) จะไปซื้อขนมที่ร้านนี้ก็หาร้านนี้เขาเปลี่ยนชื่อร้านเป็น boul’ange เอ้าาา เป็นงั้นไป ไม่รู้ว่าจะอร่อยเหมือนเดิมไหม T T เห็นพี่นนท์ว่าเคยกินร้านนี้ตรงชิบูย่าก็อร่อยดีเหมือนกัน
กลับมาที่แพลนการเที่ยวในวันฟรีเดย์ของเรากันค่ะ ซึ่งตั้งจุดหมายไว้ 2 ที่ นั่นก็คือ ยานากะ กินซ่า (Yanaka Ginza) สถานที่ที่เมื่ออ่านจากรีวิวแล้วรู้สึกได้ว่าทาสแมวอย่างเรา ๆ ต้องไป เพราะเป็นแหล่งรวมน้องแมวหลากหลายพันธุ์ แถมมีขนมน่ารัก ๆ ที่เป็นรูปน้องแมวให้เราไปลองชิมด้วย
และอีกที่นึงคือ ย่าน Ometesando ย่านช็อปปิ้งที่เราตั้งใจจะกลับไปตามเก็บร้านของกินและร้านช็อปปิ้งให้ครบนั่นเอง (ที่จริงก่อนวันฟรีเดย์ก็มาแล้วครั้งนึงแต่เวลามีน้อย ยังเก็บไม่ครบทุกร้านเลย)
วันนั้นเราไปเที่ยวกับรุ่นน้องแค่ 2 คนและออกเดินทางกันตั้งแต่เช้า เพราะจากโรงแรมที่เราพักที่นาริตะไปยานากะใช้เวลาในการนั่งรถไฟ 1 ชั่วโมงนิด ๆ กลัวว่าไปช้าแล้วจะมีเวลาเที่ยวน้อยลง สำหรับใครที่อยากไปเที่ยวยานากะแบบเราแล้วพักโรงแรมที่นาริตะ การเดินทางไม่ยากเลย ให้เราไปขึ้นรถไฟที่ Keisei-Narita Station โดยนั่ง Keisei Line ไปลงที่ Nippori Station ต่อเดียวถึงเลยนะคะ ไม่ต้องเปลี่ยนสายรถไฟ โดยรอบรถไฟที่เราขึ้นเป็นรอบ 08.07 น. ถึงยานะกะตอน 09.16 น. บอกเลยว่ารถไฟญี่ปุ่นตรงเวลามาก ใครที่ชักช้าบอกเลยต้องรอรอบต่อไปเน่อ

พอเราลงรถไฟที่ สถานี Nippori ให้เราเดินไปยังทางออก West Exit นะคะ ถ้าใครที่งงสามารถถามพนักงานที่สถานีได้เลยค่ะ เพราะเราก็หลงเหมือนกัน ด้วยความที่เดินทางด้วยรถไฟเองครั้งแรกก็เลยงง ๆ นิดหน่อย


เมื่อออกจากสถานีได้แล้วก็เดินมาเรื่อย ๆ พอมาถึงเราก็จะเจอกับซุ้มประตูทางเข้ากับขั้นบันไดอันเป็นเอกลักษณ์ เป็นมุมที่ถ่ายรูปออกมาได้สวยอีกมุมนึงเลย เมื่อมาถึงเราก็แอบตกใจเล็กน้อยว่าทำไมร้านแถวนั้นถึงยังไม่เปิดก็คิดว่า เออออ เราคงมาเช้าไปเนอะ

ในเมื่อร้านยังไม่เปิดงั้นไปเดินเล่นแถวนี้ก่อนแล้วกัน เลยทำการเปิดดูรีวิวแล้วก็ค้นพบว่า เฮ้ยแก แถวนี้มันมีสุสานนะเว้ย แล้วมันดูร่มรื่น แถมมีน้องแมวเดินเล่นอยู่เยอะแยะเลย ก็เลยเอาวะ ไปค่ะ! เดินไปดูกัน ก็เลยทำการใช้ Google Map ให้เป็นประโยชน์ (วิธีนี้สามารถเอาไปใช้กับการหาสายรถไฟในญี่ปุ่นได้ด้วยนะคะ ซึ่งสะดวกมาก ๆ และดูไม่ยากด้วย ^_^) จากย่านยานากะเดินมาไกลเหมือนกัน แต่ก็ไม่รู้เพราะเราเดินผิดทางหรือเปล่า ฮ่าๆๆ แต่บ้านเรือนแถวนั้นบอกเลยว่าถ้าใครที่ชอบบ้านแนวเก่า ๆ ที่นี่ตอบโจทย์นะคะ ถ่ายรูปเล่นเพลินเลยแหละ
พอเดินมาถึงสุสาน สิ่งที่พบคือ……..
ไหนล่ะแมวววววววววว
เจ้าเหมียวอยู่ไหนนนนนนนนนนนนน
หรืออากาศร้อนพวกเธอเลยไปหลบแดดกันใช่ไหม คือสิ่งที่เราเห็นอยู่ตรงหน้ามีแค่สุสานเพียว ๆ แบบไม่มีน้องแมวเลยยยยซักตัว มีแต่คุณลุงมาตัดต้นไม้อยู่แถว ๆ นั้น เราก็มองหน้ากับรุ่นน้องแล้วคิดกันว่า ลองเดินเข้าไปไหม เจ้าเหมียวอาจจะอยู่ข้างใน แต่พอเดินเข้าไปก็ไม่เจอเจ้าเหมียวเลยสักตัว! ฉันมาทำอะไรตรงเน้!!!! T_____T

เมื่อไม่เจอน้องเหมียว
เราก็ยังไม่หมดความพยายาม พอเห็นว่าตอนนั้นก็ 11 โมงละ ร้านก็น่าจะเริ่มทยอยเปิดกันแล้ว เราเลยเดินย้อนกลับไปที่ยานากะ แต่พอไปถึง โอ้วแม่เจ้า! ก็แทบจะไม่มีร้านไหนเปิดเพิ่มเลย มีแต่ร้านขายตรายางที่เพิ่งเปิดพอดี เลยลองเดินเข้าไปดูซะหน่อย

ร้านนี้เป็นร้านที่น่ารักมากกกกกก มีตรายางให้เลือกซื้อหลายลายเลยแหละ ด้วยความที่ตอนเด็ก ๆ ดู การ์ตูนเรื่องชินจัง แล้วคนญี่ปุ่นเขาจะมีตรายางเอาไว้ประจำตัว เอาไว้ใช้แทนลายเซ็นของเราได้ เราก็แบบอยากได้ ซื้อไปสักอันดีไหม ฮ่าๆๆๆ ที่ร้านนี้เราสามารถสั่งทำตรายางแบบเฉพาะของเราเองได้ด้วยนะคะ แต่เราไม่แน่ใจในเรื่องของราคา น่าจะอยู่ที่ราว ๆ 2,600 เยน มีให้เลือกหลายขนาดเลย ถ้าใครสนใจลองแวะไปดูได้นะ

พอออกมาจากร้านเราก็เริ่มถอดใจละว่าวันนี้เป้าหมายที่ตั้งใจไว้ว่าจะมาหาเจ้าเหมียวที่นี่ก็คงต้องพัง เพราะเราไม่เจอเจ้าเหมียวเลยสักตัว เราก็คิดแล้วว่า เอ้ออออ เราคงโดนแมวเทแล้วแหละ ทำไมถึงต้องใจร้ายกับเราด้วย เราไปทำอะไรให้เธอออออ T____T แต่ก็นะ ตัดสินใจปลอบใจตัวเองโดยการกลับไปที่ร้านขายของใกล้ ๆ ซุ้มประตู กะว่าจะซื้อของติดไม้ติดมือกลับไป คิดซะว่า เอออ อย่างน้อยเราก็มาถึงแล้วนะ

ในร้านเราก็เจอกับพี่ผู้หญิงคนไทย เราก็เลยตัดสินใจเข้าไปถามพี่เขาว่า ร้านที่นี่เขาเปิดกันกี่โมงหรอคะ ทำไมหนูมาแล้วไม่เจออะไรเลย แล้วก็ได้คำตอบกลับมาว่า “ต้องมาวันเสาร์-อาทิตย์ช่วงเย็น ๆ นะคะ คนจะมาเดินกันเยอะเลย” แล้วคือฉันมาทำอะไรตรงนี้ กับเช้าวันจันทร์ที่สดใส นี่คิดในใจ อ๋ออออ ฉันมาผิดวันหรอ?! โอ้ยตาย
แต่ในความโชคร้ายของเด็กน้อยก็ยังมีความโชคดีซ่อนอยู่ ตอนที่เรากำลังเลือกซื้อของอยู่หน้าร้าน เราก็ไปเตะตากับรูปเจ้าเหมียว แต่ด้วยความที่อ่านภาษาญี่ปุ่นไม่ออก ก็คิดเองเออเองว่า คงเป็นรูปของเจ้าเหมียวของเจ้าของร้านนี่แหละ เป็นแมวตัวสีน้ำตาลเข้ม ปลอกคอสีน้ำเงิน แล้วพอหันไปทางขวาก็…อ้าวเฮ้ยย เจ้าเหมียวที่อยู่ในรูปนี่นา เราก็ทำการรีบวิ่งตามเจ้าเหมียวแล้วควักโทรศัพท์ออกมาถ่ายรูปอย่างรวดเร็ว แต่อะไรเอ่ยยยย เจ้าเหมียวออกมาโชว์ตัวแค่ 30 วิแล้วนางก็กระโดดหนีไป เหลือทิ้งไว้เพียงเด็กน้อยตาดำ ๆ ที่กดชัตเตอร์ถ่ายรูปเจ้าเหมียวได้แค่ 2 รูป T_T แต่ก็เอาวะ อย่างน้อยก็ได้เจอแมว 1 ตัวนะ

ก็ไม่ว่าถือโดนแมวเทซะทีเดียว
ก่อนกลับเราก็ทำการเดินไปถ่ายรูปหุ่นไม้รูปแมวคู่ที่ใครมาย่านนี้ก็ต้องถ่ายรูปกัน มันก็เป็นความฟินเล็ก ๆ ของเรานะ ถึงแม้ว่าจะไม่ได้กินขนมหางแมว แล้วก็ไม่ได้เล่นกับเจ้าเหมียว แต่ก็ถือว่าครั้งนึงเราก็เคยมาที่นี่แล้วนะ ^______^
ระหว่างที่เดินย้อนกลับไปที่ สถานี Nippori เพื่อที่จะขึ้นรถไฟ เราก็เจอคุณป้านั่งขายกระดุมรูปเจ้าเหมียว มีลายให้เลือกเยอะมากกกกก สนนราคาอยู่ที่ 3 อัน 500 เยน 5 อัน 700 เยน (ถ้าราคาผิดพลาดขออภัยนะคะ) คุณป้าก็ใจดีช่วยเราเลือกลายใหญ่เลย เราก็เลยตัดสินใจอุดหนุนคุณป้ามา 3 อัน ถือซะว่าเป็นของฝากจากย่านยานากะ กินซ่าแล้วกัน

จุดหมายต่อไปของเราคือการไปช็อปปิ้ง ย่าน Omotesando เราเลยทำการนั่งรถไฟจาก สถานี Nippori ไปลงที่ สถานี Harajuku โดยขึ้น Yamanote Line ใช้เวลาประมาณครึ่งชั่วโมงก็ถึง


โดยจุดหมายแรกของเราคือ ร้าน Eggs ‘n Things ใครที่จะไปทานอาหารร้านนี้ต้องใช้ความอดทนในการรอคิวหน่อยนะคะ เพราะว่าคนเยอะจริง ๆ แต่ถ้าได้เข้าไปนั่งทานอาหารแล้วล่ะก็ คุ้มจริง ๆ เพราะว่ามันอร่อยมากกกก (อีกแล้ว)

และร้านที่ 2 ก็เกิดจากการตามรอยเว็บนี้เช่นกันค่ะ นั่นก็คือร้าน Aoyama Flower Market TEA HOUSE เป็นร้านที่ตั้งเป้าไว้เลยว่าถ้ามาที่นี่ต้องมากินให้ได้ แต่ก็เช่นเคย ยืนรอคิวกันต่อไปค่ะ เพราะร้านนี้คนก็เยอะเหมือนกัน จำได้ว่ารอคิวประมาณครึ่งชั่วโมง พอเข้าไปในร้านเราก็ทำการสั่ง Fresh Herb Tea และ Flower Parfait และอีกอย่างที่เป็นซุปและมีข้าวโพดด้วย จำไม่ได้ว่าชื่ออะไรค่ะ แต่ขอบอกว่าเดินช็อปมาเหนื่อย ๆ พอเข้ามานั่งร้านนี้แล้วหายเหนื่อยเลย แถมได้นั่งดูดอกไม้ที่ร้านนี้ด้วย ห้ามพลาดเช่นกัน กลับไปอ่านคลิก http://www.nontdesign.com/aoyama-flower-market-tea-house/
ขอบคุณทุก ๆ ท่านที่อ่านมาถึงช่วงสุดท้ายของเรื่องนี้นะคะ อาจจะเป็นเรื่องที่ไร้สาระ ไม่ค่อยได้อะไรเท่าไหร่ แต่เราก็อยากมาแชร์ประสบการณ์การเที่ยวญี่ปุ่นให้ได้อ่านกัน เอาเป็นว่ามาต่อกันตอนที่ 2 ฮ่าๆๆๆ หนูจะสรุปรวมของกินและร้านช็อปปิ้งล้วน ๆ แล้วพบกันตอนต่อไปนะคะ
สุดท้ายขอฝาก
Facebook: nontdesign
IG: nontdesign
Twitter: nontdesign
ขอบคุณค่ะ
ก้อย
เรื่องโดย ก้อย
รูปโดย ก้อยและป่าน