JAPAN 1st Time [2]…กินอิ่มจนเพลินพุง ถลุงเงินเกินบรรยาย

ท่องเที่ยวต่างประเทศ [18]

หลังจากที่ตอนแรก JAPAN 1st Time…โดนแมวเทที่ญี่ปุ่น คลิกกลับไปอ่านได้ครับ ได้รับความนิยมอย่างล้นหลาม แค่เผยแพร่วันแรกก็มีคนอ่านถึง 2 พันกว่าคน นี่ไม่รู้ว่าน้องเขาเขียนดี หรือเรื่องของการไปญี่ปุ่นครั้งแรกนั้นเป็นที่สนใจของหลาย ๆ ท่านกันแน่ ฮ่าาาาาาาาาาาาาา ผมไม่พูดมากให้เสียเวลาแล้วครับ ไปอ่านตอนที่ 2 กันเลย

JAPAN 1st Time…

กินอิ่มจนเพลินพุง ถลุงเงินเกินบรรยาย

โอฮาโยยยยยยย…

กลับมาเจอกันอีกครั้งกับตอนที่ 2 ภาคต่อจากเรื่อง JAPAN 1st Time…โดนแมวเทที่ญี่ปุ่น คราวนี้เราจะพาคุณผู้อ่านไป ตะลอนกิน ตะลอนช็อป ของที่น่าสนใจแบบทรัพย์จางใน ประเทศญี่ปุ่น กันต่อ

การจะหาแหล่งกิน แหล่งช็อปสำหรับคนที่เพิ่งเคยไปประเทศญี่ปุ่นเป็นครั้งแรกบอกเลยว่าไม่ใช่เรื่องง่าย เราต้องทำการบ้าน สอบถามผู้รู้ หรือศึกษาหาข้อมูลมาเป็นอย่างดี ความสำคัญของการวางแผนการเที่ยวไว้ก่อนล่วงหน้าคือเวลาเราไปถึงสถานที่จริงเราจะได้ไม่ต้องเสียเวลามานั่งหาข้อมูล สามารถไปตามหาของกินและช็อปปิ้งได้อย่างสบายใจ ซึ่งปัจจุบันการหาข้อมูลเหล่านี้ไม่ใช่เรื่องยากเลย

อย่างเราก็วางแผนเที่ยวและลิสต์รายชื่อของที่ต้องการซื้อเป็นตาราง Excel ไปเรียบร้อย ซึ่งทำให้การไปเที่ยวของเราง่ายขึ้นเยอะมากๆ เช่น การไปช็อปที่ร้าน Matsumoto Kiyoshi วันนั้นเราไปที่ สาขาชินจุกุ และไปถึงร้านนี้ตอน 2 ทุ่ม แล้วตอนนั้นคนเยอะมากกก แล้วร้านจะปิดตอน 4 ทุ่ม ถ้าเรามัวแต่เดินหาของบอกเลยว่าไม่ทันจริงๆ ขนาดเรามีลิสต์อยู่ในมือยังเกือบไม่ทันเลย ไปถึงเราทำการหยิบ ๆ ๆ ของลงในตะกร้าอย่างรวดเร็ว จนคนข้างๆ ยังหันมามอง (ไม่รู้ว่ามองว่าเราหยิบของแบบเอาเป็นเอาตายหรือเพราะลิสต์ของที่ยาวเป็นหางว่าว) และบอกเลยว่า Google Map เป็นสิ่งที่ค่อนข้างจำเป็นสำหรับเราในการไปเที่ยวครั้งนี้เลย เพราะด้วยความที่เพิ่งไปครั้งแรกอาจจะทำให้หลงได้ง่ายๆ เปิด Map ไว้ก่อนอุ่นใจขึ้นเยอะเลย

โดยเราจะเริ่มจากร้านของกินอร่อยๆ กันก่อนนะคะ กองทัพก็ต้องเดินด้วยใช่ป่ะล้าาาาา เราจะไล่ลำดับร้านอาหารตามโปรแกรมการไปเที่ยวของเรา และความอร่อยของแต่ละร้านจะถูกใจหรือถูกปากของคุณผู้อ่าน ต้องลองไปสัมผัสกันเองนะคะ 😉

วันแรกโปรแกรมการเที่ยวของเราเริ่มต้นกันที่ วัดอาซากุสะ ก่อน ระหว่างที่กำลังเดินถ่ายรูปเล่นไปเรื่อยๆ พี่ไกด์ก็แนะนำให้ลองกินขนมร้านนี้ดู เพราะเป็นร้านที่ได้รับความนิยมจากนักท่องเที่ยวเป็นอันดับต้นๆ และร้านแรกนั้นก็คือ ร้านคะเกะซึโด (浅草 花月堂) ร้านขนมจัมโบ้เมล่อนปังชื่อดัง ดังขนาดที่ เจมส์ จิรายุ ก็ไปกินมาแล้ว

พอคุณพี่ที่ร้านรู้ว่าเราคือกลุ่มคนไทย พี่แกก็รีบวิ่งมาหาแล้วถือรูปที่ถ่ายกับเจมส์ จิมาด้วย เห็นอย่างนั้นก็เลยจัดการอุดหนุนคุณลุงมา 1 ชิ้น (นี่ซื้อเพราะเจมส์ จิใช่ไหม ตอบ!) สนนราคาอยู่ที่ชิ้นละ 200 เยน โดยเราเลือกซื้อเป็นรสออริจินัล เพราะอยากลิ้มรสความอร่อยแบบจัดเต็ม ตอนแรกที่สัมผัสขนมด้านนอกจะให้ความรู้สึกแข็งๆ คล้ายๆ กับคุ้กกี้ แต่ข้างในเนื้อขนมปังกลับนุ่มและอร่อยมากกก รสชาติหวานกำลังดี คือมันอร่อยจนเรากินคนเดียวหมดถึงแม้ว่าขนมชิ้นนั้นจะใหญ่มาก ๆ ก็ตาม

 

คุณพี่คนขายเมล่อนปังกับรูปที่ถ่ายคู่กับเจมส์ จิ
คุณพี่คนขายเมล่อนปังกับรูปที่ถ่ายคู่กับเจมส์ จิ

 

ร้านถัดมาก็ยังคงวนเวียนอยู่แถวๆ วัดอาซากุสะ เนื่องจากรุ่นน้องที่ไปด้วยกันเกิดหิวขึ้นมา แล้วตอนนั้นเป็นช่วงเวลาใกล้เที่ยงแล้วด้วยก็เลยลองเดินตามหาร้านอาหารกัน เดินจนทั่วก็ยังไม่รู้ว่าจะกินร้านไหนดี เลยตัดสินใจลองถามอากู๋ (Google) ดูว่ามีร้านไหนน่าสนใจบ้าง จนมาเตะตากับ ร้านไดโคคุยะ (Daikokuya) ร้านเทมปุระ 100 ปี ร้านที่เขาว่ากันว่าคนจะต่อคิวกันเยอะมากกกก พวกเราก็เลยตัดสินใจกันว่าเลือกร้านนี้แหละ ไหนๆ ก็มาญี่ปุ่นทั้งทีต้องเอาให้สุด

พอไปถึงหน้าร้านกลับพบว่าคิวไม่ยาวอย่างที่คิด ความจริงต้องบอกว่าไม่มีคนต่อแถวเลยดีกว่า นี่ก็เอะใจ ทำไมไม่เห็นเหมือนที่อ่านในรีวิวเลยแฮะ (หรือว่าคุณหลอกดาว?!) แต่ก็ไม่ได้สนใจอะไร เดินดุ่ม ๆ เข้าไปในร้านเลยทันที เข้ามาถึงก็ได้นั่งโต๊ะนั่งเสื่อเลยจ้าาา สงสัยคุณป้าพนักงานอยากให้สัมผัสกับวัฒนธรรมญี่ปุ่นแบบจริงๆ แน่เลย พอนั่งปุ๊บ คุณป้าก็รีบเอาเมนูมาให้ ทุกคนทำการสั่งเมนูเหมือนกันหมด  เราเลือกสั่งแบบกุ้ง 1 ตัวและมีของทอดอย่างอื่นรวมมาด้วยกัน ราคาอยู่ที่ประมาณ 1,500 เยน

 

กุ้งตัวโตกับซอสสีเข้ม แต่รสชาติไม่เค็มอย่างที่คิดนะเอ้อ
กุ้งตัวโตกับซอสสีเข้ม แต่รสชาติไม่เค็มอย่างที่คิดนะเอ้อ

 

พออาหารมาเสิร์ฟตอนแรกก็ตกใจ ทำไมกุ้งมันถึงได้ใหญ่และดำได้ขนาดน้านนน จุดแรกคือคิดนะว่ามันจะเค็มจนกินไม่ได้หรือไหม้เปล่า แต่พอลองกินแล้วผิดคาด มันไม่เค็มนะยูววว แถมที่ทำให้สีดำก็คือซอส และยังทำให้แป้งไม่กรอบด้วย ใครที่ไม่ชอบเทมปุระแบบกรอบน่าจะชอบ แต่ในเรื่องรสชาติบอกเลยว่าเราไม่ชิน รู้สึกว่าแปลก ๆ ไม่ใช่ว่าไม่อร่อยนะ แต่เราชินกับข้าวเทมปุระที่กุ้งจะกรอบ ๆ มีสีเหลืองทอง และขอบอกเลยว่า ถ้าใครเป็นสายกินจุ ร้านนี้น่าจะตอบโจทย์ เพราะตอนเรากินไม่หมด ให้เยอะมาก แอบเหลือข้าวเยอะเลยแหละ (ขอโทษนะคะ กินไม่ไหวจริง ๆ )

หลังจากไปไหว้พระขอพรที่วัดกันแล้ว ก็ได้เวลาช็อปปิ้งสิคะ โดยสถานที่ถัดไปก็คือ ตลาดอะเมโยโกะ (Ameyoko Market) เป็นแหล่งที่รวมสินค้าหลากหลายชนิด แต่เรากลับไม่ได้ช็อปอะไรที่นี่เลย (พี่นนท์ก็เคยบอกว่าไปมา ไม่ได้ซื้ออะไรเลย) เสียเงินแค่ กาชาปองเจ้าเหมียว 2 ตัว โดนไปเบา ๆ 400 เยน

แต่ผลพลอยได้คือ ได้ไปร้าน Marion Crepes ที่จริงกะว่าจะรอไปกินที่ฮาราจุกุ แต่เกิดทนไม่ไหวเลยจัดที่นี่ก่อนและสาขานี้คนก็ไม่เยอะเท่าที่นู่นด้วย โดยร้านนี้มีเมนูเครปให้เลือกเยอะ แบบเยอะมาก ๆ ไม่รู้จะเยอะไปไหน มีให้เลือกทั้ง Hot Crepe และ Cold Crepe ราคาก็จะแตกต่างกันไป ตามแต่ว่าเราจะสั่งเมนูไหน ส่วนตัวเราสั่งเมนู Strawberry Whipped Cream ราคา 400 เยน เป็นเครปเย็นที่มาในปริมาณเยอะอีกแล้ว เราก็กินไม่หมดอีกเช่นเคย (มีอะไรที่แกกินหมดบ้าง?!) อาจจะเพราะว่ามันหวานไปและมันทำให้เราเลี่ยน ก็เลยตัดใจกินแต่สตรอว์เบอร์รีให้หมด และก็ต้องทิ้งส่วนที่เหลือ แต่ก็แอบเสียดายมากๆ เลยนะ T____T

 

Marion Crepes ร้านเครปที่ใครไปญี่ปุ่นก็ต้องลองกินสักครั้งนีง
Marion Crepes ร้านเครปที่ใครไปญี่ปุ่นก็ต้องลองกินสักครั้งนีง

 


 

จบจากวันแรกก็มาถึงวันที่สอง เกิดการเปลี่ยนแผนการเที่ยวชั่วคราว เพราะวันนั้นฝนตกเลยตัดสินใจแว้บไปที่ตลาดปลาซึกิจิ (Tsukiji Fish Market) ด้วยความที่คนในตลาดปลาเยอะมาก เราก็เลยตัดสินใจเดินออกมาทางโซนด้านนอก พยายามหาร้านซูชิที่น่าจะอร่อยและราคาไม่แพง จนมาลงตัวที่ร้าน Tsukiji Sushi Sen
วันนั้นเราสั่งซูชิมากินไม่เยอะเพราะว่ายังอิ่มจากอาหารเช้าที่โรงแรมอยู่ แต่พอกินคำแรกเท่านั้นแหละ อื้อหืออออ ฟินมากกกกก บอกเลยว่าร้านนี้ซูชิอร่อยมากกก อาจจะดูเวอร์ เราเพิ่งเจอร้านที่มันอร่อยจริง ๆ ก็วันนี้แหละ อาจจะเพราะว่าวัตถุดิบที่ใช้มีความสดเลยทำให้รสชาติอร่อย ตอนกินเรานั่งตรงเคาน์เตอร์พอดี คุณลุงเชฟที่ยืนปั้นซูชิคงเห็นสีหน้าความฟินของเราแบบเต็ม ๆ คือมันอร่อยจริง ๆ ถ้าไม่ติดว่าอิ่มจะสั่งเพิ่มอีกนะนั่น

 

Set Sushi
Set Sushi จากร้าน Tsukiji Sushi Sen

 

ฟินมาก
ฟินมาก

 

ความละมุนของเนื้อปลานี้อยากให้ทุกคนได้ลองจริงๆ
ความละมุนของเนื้อปลานี้อยากให้ทุกคนได้ลองจริงๆ

 

หลังจากที่เราไปตะลุยย่าน กินซ่า (Ginza) และ โอไดบะ (Odaiba) มาแล้ว ก็ได้เวลากลับมาหาของกินมื้อเย็นย่านคาบูกิโจ (Kabukicho) เพราะคืนนี้เรานอนโรงแรมแถว ๆ ชินจุกุ ร้านที่เราไปกิน นั่นก็คือ ร้าน Mo-Mo-Paradise โดยร้านนี้ตั้งอยู่ที่ Humax Pavilion Shinjuku Kabukicho ชั้น 8 ถามว่าทำไมต้องไปกินร้านนี้ถึงญี่ปุ่น เพราะที่ไทยร้านนี้ก็มี แถมเราก็ไปกินบ่อยด้วย แต่ปกติเราจะชอบกินแบบสุกี้ยากี้ แต่คราวนี้ได้กินแบบชาบู

ไหน ๆ มาถึงญี่ปุ่นก็มาแล้วขอลองสักหน่อย ด้วยความที่เราไม่ใช่สายกินเนื้อ เราก็อาจจะไม่อิน โดยโต๊ะเราจัดเต็มกันสุดๆ สั่งหมูเพิ่มกับพนักงานทีละ 10 ถาด อ่านไม่ผิดค่ะ 10 ถาดจริงๆ ค่ะ (นั่นกินหรืออะไรรรรร?!) เนื้อหมูของเขาก็มีความนุ่ม รสชาติถือว่าโอเค อร่อยตามมาตรฐานของร้านนี้เลย ตอนนั้นคือหิวเลยกินกันเร็วมากๆ อาหารมื้อนี้มาพร้อมด้วยข้าวถ้วยเล็กๆ 1 ถ้วย และถ้าใครอยากกินผักสามารถเดินไปตักเพิ่มได้จากรถเข็นผักที่อยู่ใกล้ๆ โต๊ะได้เลย ส่วนพวกน้ำอัดลมต้องเพิ่มเงินต่างหากนะคะ

 


 

มาถึงวันที่สามของการเที่ยว วันนี้เป็นวันแห่งการช็อปปิ้งแบบแท้จริง โดยร้านแรกที่แว้บไปกินอยู่ที่ ย่านฮาราจุกุ  นั่นก็คือ ร้าน ZakuZaku ร้านนี้อยู่ที่ ถนนทาเคชิตะ (Takeshita) อยู่ตรงตึก CUTE CUBE ชั้น 1 ตอนที่เราไปซื้อคนต่อคิวซื้อเยอะมากกก เยอะจนยาวมาถึงหน้าร้าน

ร้านนี้ได้ชื่อว่าเป็นร้านชูครีมอันโด่งดังของโตเกียวเลยทีเดียว อ่านกี่รีวิวก็ต้องมีชื่อร้านนี้ติดมาด้วยเสมอ และสินค้าขายดีของทางร้านเลยก็คือ Croquant Chou Zaku Zaku สนนราคาอยู่ที่ชิ้นละ 250 เยน ส่วนรสชาติถามว่ากินแล้วว้าวไหม สำหรับเราเฉยๆ นะ เวลากัดจะรู้สึกถึงความกรอบจากด้านนอกและเนื้อครีมที่มีความหอมและนุ่มของไส้ขนมจากด้านใน ใครที่ชอบกินชูครีมน่าจะชอบกินได้ไม่ยาก

 

Croquant Chou Zaku Zaku ร้านที่ได้รับการแนะนำเกือบจะทุกรีวิวเลยก็ว่าได้ว่าต้องไปกินนะเธอออ
Croquant Chou Zaku Zaku ร้านที่ได้รับการแนะนำเกือบจะทุกรีวิวเลยก็ว่าได้ว่าต้องไปกินนะเธอออ

 

Croquant Chou Zaku Zaku
Croquant Chou Zaku Zaku

 

ไปกินร้านของคาวและของหวานมาแล้ว ร้านกาแฟก็ถือว่าเป็นร้านที่ขาดไม่ได้จริงๆ ร้านนี้เป็นร้านที่เราไปกินตอนวันฟรีเดย์ที่เราโดนแมวเทที่ยานากะนั่นแหละ 55555 ร้านนี้เป็นร้านที่เกิดจากการตามรอย เว็บ Nontdesign นี่แหละ และเป็นร้านที่เราตั้งใจว่าจะต้องมากินให้ได้ นั่นก็คือ ร้าน Blue Bottle Coffee เป็นร้านที่ตั้งอยู่ใกล้ ๆ กับสถานี Omote-sando Station สาขานี้อาจจะต้องเดินเข้าไปในซอยนิดนึง แต่หาไม่ยากนะคะ ถ้าใครหาไม่เจอสามารถเปิด Google Map ดูแล้วเดินตามได้เลย

เมื่อเดินเข้าไปจะเจอกับป้ายร้านตั้งอยู่ เป็น รูปขวดสีฟ้า ถ้าเห็นป้ายนั้นแสดงว่าเราเดินมาถึงที่ร้านแล้ว เราก็ทำการเดินขึ้นบันไดขึ้นไปชั้นบนแล้วก็สั่งกาแฟได้เลย ซึ่งร้านนี้เป็นร้านที่เข้าไปแล้วรู้สึกประทับใจมากเลยนะ ทั้งการตกแต่งร้าน การบริการของพนักงาน คือทุกอย่างมันดีไปหมด และกาแฟที่เราเลือกกินในวันนั้นคือ Cold Brew ราคาอยู่ที่แก้วละ 500 เยน

 

Cold Brew แก้วนี้อร่อยมากเวอร์ ถ้ามีโอกาสจะกลับไปกินอีก ^____^
Cold Brew แก้วนี้อร่อยมากเวอร์ ถ้ามีโอกาสจะกลับไปกินอีก ^____^

 

ตอนสั่งกาแฟพนักงานก็จะให้เราจิ้มหน้าจอเพื่อพิมพ์ชื่อของตัวเอง (พี่นนท์บอกว่าปกติพนักงานจะจิ้มเองนะ แต่บางทีเขาคำนวณว่าชื่อน่าจะสะกดยากเลยให้เราจิ้มเอง อันหลังนี่พี่นนท์เดา) คล้าย ๆ กับเวลาที่เราไปสั่ง Starbuck แล้วพนักงานจะชอบถามชื่อเรานั่นแหละ พอสั่งกาแฟเสร็จเรากะว่าจะเดินไปที่ระเบียงของร้านแล้วถ่ายรูปเล่นระหว่างรอ แต่ไม่ถึง 2 นาทีพนักงานก็เรียกชื่อเราเป็นสำเนียงญี่ปุ่น (พี่นนท์บอกอีกว่า จะต่อด้วย ซะมะ (様) sama ซึ่งแปลว่าคุณหรือท่าน) ประมาณว่า กาแฟที่สั่งได้แล้วนะยูววว เราก็งง เฮ้ย อะไรมันจะเร็วขนาดนั้นฟระ

 

ภายในร้าน Blue Bottle วันที่เราไปคนแอบเยอะใช้ได้เลย
ภายในร้าน Blue Bottle วันที่เราไปคนแอบเยอะใช้ได้เลย

 

พอได้กาแฟมาแล้วปกติเราจะชอบเดินไปเติมไซรัปใส่ในกาแฟเลย แต่รอบนี้ขอลองแบบยังไม่เติมดูก่อนว่าจะอร่อยไหม ผลลัพธ์ที่ได้คือ เหยแกกกกก มันดีอ่ะ ดูดแล้วมันสดชื่นนะเอ้อ คือกินแล้วตื่นเลย จากที่เดินเหนื่อยๆ จากการช็อปปิ้งมา แต่ถ้าใครไม่ถูกจริตกับกาแฟที่มีรสออกเปรี้ยวๆ และกาแฟเข้มๆ แนะนำว่าให้เติมไซรัปดีกว่าค่ะ ระวังจะดีดเอา ร้านนี้เป็นร้านที่เราแนะนำเลยนะสำหรับคนที่ชอบดื่มกาแฟ

 

ป้ายร้าน Blue Bottle ขวดสีฟ้าเอกลักษณ์ของร้านเขาแหละ
ป้ายร้าน Blue Bottle ขวดสีฟ้าเอกลักษณ์ของร้านเขาแหละ

 

กลับมาที่ ของคาว กันต่อ ร้านนี้เป็นร้านที่รุ่นน้องเราเป็นคนอยากกิน นั่นก็คือ ร้าน CoCo Ichibanya สาขาชินจุกุ ร้านข้าวแกงกะหรี่ที่คุ้นตากันดีในบ้านเรานี่แหละค่ะ ด้วยความที่นางอยากลองว่า สาขาในไทยกับญี่ปุ่นจะแตกต่างกันไหม แต่ใจจริงเราอยากไปกิน ราเมนข้อสอบ (Ichiran Ramen) มากกว่า (รอพี่นนท์รีวิวละกันนะ) แต่ก็เอาวะ น้องอยากลองก็จัดไป แต่ร้านนี้เป็นร้านที่เราเลิกกินไปสักพักใหญ่ ๆ แล้ว เพราะเราไปรู้มาว่าซอสแกงกะหรี่นั้นมีส่วนผสมที่มาจากเนื้อด้วย ซึ่งเราเป็นคนไม่กินเนื้อ แต่รุ่นน้องเราบอกว่าเดี๋ยวนี้เราเลือกได้ว่าจะเอาแกงกะหรี่จากซุปหมูหรือซุปวัว คือดี! เห็นใจคนไม่กินเนื้ออย่างดิฉันบ้างงง

เมื่อไปถึงที่ร้านก็เป็นอย่างที่รุ่นน้องบอก เราก็เลยกินได้อย่างสบายใจ (หลังจากที่ไม่ฉลาดมาตั้งนาน ไปกินร้านนี้ก็หลายครั้งอยู่ T____T) เมื่อเลือกกว่าจะเอาซุปหมูหรือเนื้อส่วนที่เหลือก็สั่งแบบที่กินที่ไทยเลยค่ะ จะเพิ่มหรือลดข้าว เผ็ดมาก เผ็ดน้อย เพิ่มท็อปปิ้งอะไรก็เพิ่มได้ ตามใจชอบ รสชาติเราว่าจริง ๆ ก็ไม่ต่างจากที่ไทยเลยนะ

แต่ที่พิเศษคือ ปกติที่ไทยจะมีระดับความเผ็ดอยู่ที่ 1-5 แต่ที่ญี่ปุ่นจะมีให้เลือก 6 ระดับ คือ 1 2 3 4 5 แล้วก็ 6-10 เลยนับเป็นระดับเดียว วอทททท?! งง คือมันต้องเผ็ดระดับไหนหรอ รุ่นน้องเราใจไม่กล้าพอเลยขอหยุดที่ระดับ 5 พอ เราเลยขอชิมนิดนึง แอบเผ็ดเหมือนกันนะ อาจจะเพราะว่าเราไม่กินเผ็ดด้วยแหละ แต่รสชาติโอเคเลย ให้ผ่านค่าาา

ขอปิดท้ายด้วยร้านราเมน คือว่าเราเดินดุ่ม ๆ เข้าไปเลยค่ะ แบบวัดดวงมาก คือจุดนั้นมีร้านไหนให้ทานก็จัดเลยเพราะหิวมาก ร้านนี้ชื่อว่า Rai Rai Tei (来来亭 成田店) ร้านนี้คือร้านราเมนที่อร่อย คุ้มค่า คุ้มราคา เรียกได้ว่าเหนือความคาดหมายของเราเลยนะ อาจจะเพราะว่าตั้งแต่มาญี่ปุ่นจนจะกลับแล้วเรายังไม่ได้สัมผัสกับราเมนรสชาติที่เป็นญี่ปุ่นแท้ๆ เลย แต่ร้านราเม็งที่เราชอบกินและคิดว่าอร่อยที่สุดตั้งแต่กินมาในชีวิตนี้เลยก็คือ Bankara Ramen ที่ประเทศเรา พอมากินราเมนร้านนี้บอกเลยอร่อยไม่แพ้กัน รสชาติจะออกเค็มหน่อย แต่ว่าเข้มข้นดีเลยแหละ แถมปริมาณที่ให้มาก็เยอะมาก ๆ ด้วย (แต่เราก็กินหมดนะ)

 

สีของราเม็งดูเหมือนจะเผ็ดมาก แต่จริงๆแล้วไม่เผ็ดเลย แถมอร่อยมากด้วย
สีของราเม็งดูเหมือนจะเผ็ดมาก แต่จริงๆแล้วไม่เผ็ดเลย แถมอร่อยมากด้วย

 

ตอนกิน เราแอบใส่บ๊วยลงไปกินด้วย คือร้านเขาน่าจะให้บ๊วยไว้แก้เลี่ยน แต่เราใส่ลงไปในราเมนเลย มันอร่อยอยู่นะ มันจะออกเปรี้ยวนิดๆ แล้วพอมาเจอกับน้ำซุปที่รสชาติเข้มข้นมันเลยยิ่งอร่อยเข้าไปอีก พอลองกินแล้วอร่อยทีนี้เราก็ใส่บ๊วยลงไปแบบไม่ยั้งเลย ชามที่เราสั่งมาสีอาจจะดูเหมือนว่าเผ็ดมาก แต่ความจริงแล้วไม่เผ็ดเท่าไหร่นะ อร่อยกำลังดีเลย ราเมนที่เราสั่งมา ชามละ 853 เยน เห็นไหมล่ะว่าราคาไม่แพงเลยเมื่อเทียบกับปริมาณ กินทีอิ่มไปอีกนานเลยแหละ อิ่มจนจุก ถ้าใครที่มาพักที่นาริตะแล้วอยากลองมาทานบ้าง ร้านนี้จะอยู่ฝั่งตรงข้ามกับโรงแรม The Hedistar Hotel Narita อยู่ใกล้ๆ กับร้าน Katsuya พนักงานร้านนี้น่ารัก ยิ้มแย้มตลอดเวลาเลย เอาเป็นว่าร้านนี้เป็นอีกร้านนึงที่เราชอบเลยแหละ

หลังจากกินอิ่มจนเพลินพุงกันไปแล้ว เราจะไปละลายทรัพย์กันต่อที่ไหนรอติดตามอ่านตอนหน้านะคะ (พี่นนท์ขอให้ต่อตอนหน้าเนื่องจากว่าเขียนยาวไป Y_Y)

 

สุดท้ายขอฝาก
Facebook: nontdesign
IG: nontdesign
Twitter: nontdesign

ขอบคุณค่ะ
ก้อย

เรื่องโดย ก้อย
รูปโดย ก้อยและป่าน

 

Leave a Reply

Your email address will not be published. Required fields are marked *